การนำเอาแนวความคิดของทฤษฎีการเรียนรู้ไปพัฒนาพฤติกรรม
เนื่องจากการเรียนรู้นั้นก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งพฤติกรรมภายในและพฤติกรรมภายนอก การนำเอาแนวคิดการเรียนรู้ไปใช้พัฒนาพฤติกรรมของคนเรา สามารถที่จะเริ่มจากการพัฒนาพฤติกรรมภายในไปสู่พฤติกรรมภายนอก หรือจากพฤติกรรมภายนอกไปสู่พฤติกรรมภายในก็ได้ ทั้งนี้เนื่องจากพฤติกรรมทั้งสองประเภทนี้มีผลซึ่งกันและกันนั่นเอง แต่ในกระบวนการพัฒนาตนนั้น ผู้เขียนมีความเห็นว่าควรจะเริ่มต้นจากพฤติกรรมภายในไปสู่พฤติกรรมภายนอก เพราะว่าคนเรานั้นควรจะมีความตระหนักหรือต้องการที่จะพัฒนาตัวเองเสียก่อน จึงจะทำให้กระบวนการพัฒนาตนมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ดังนั้นขั้นตอนในการพัฒนาตนนั้นจึงควรเริ่มจากการ คิดดี พูดดี และทำดี ซึ่งถ้าทุกคนทำได้ก็จะทำให้สังคมมีความสงบ และความสุขมากขึ้น
ความคิดอาจกล่าวได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของอุปนิสัยของคนเราทีเดียว ดังคำกล่าวของ หลวงพ่อชา สุภัทโท ที่กล่าวว่า
“เธอจงระวังความคิดของเธอ เพราะความคิดของเธอ จะกลายเป็นความประพฤติของเธอ
เธอจงระวังความประพฤติของเธอ เพราะความประพฤติของเธอ จะกลายเป็นความเคยชิน
ของเธอ
เธอจงระวังความเคยชินของเธอ เพราะความเคยชินของเธอ จะกลายเป็นอุปนิสัยของเธอ
เธอจงระวังอุปนิสัยของเธอ เพราะอุปนิสัยของเธอ จะกำหนดชะตากรรมของเธอชั่วชีวิต”
การคิดดี หรือคิดในทางบวกนั้น เป็นจุดเริ่มต้นที่นักศึกษาทุกคนควรจะให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกในการพัฒนาตน ซึ่งในการที่จะพัฒนาตนได้นั้นนักศึกษาจะต้องพิจารณาใน 3 ประเด็นต่อไปนี้
1.นักศึกษาต้องมีความตระหนักในตนเอง ซึ่งหมายความว่า นักศึกษาต้องรู้ตนเองตลอดเวลาว่าตนกำลังคิดอะไรอยู่หรือกำลังทำอะไรอยู่ เพราะถ้าบุคคลใดไม่รู้ตนเองว่าตนเองกำลังคิดหรือทำอะไรอยู่ บุคคลนั้นก็ไม่มีโอกาสที่จะพัฒนาตนเองได้เลย ซึ่งวิธีการที่จะทำให้ตนเองมีความตระหนักได้นั้นสามารถทำได้โดยการที่นักศึกษาอาจจะจดบันทึกสิ่งที่ตนเองคิดหรือกระทำทุกวัน และนำข้อมูลเหล่านั้นมาพิจารณา ก็จะทำให้นักศึกษาทราบว่าตนเองมีความคิดหรือพฤติกรรมเช่นใด สมควรพัฒนาไปในทิศทางใด มากน้อยเพียงไร เช่น นักศึกษาอาจคิดว่าตนเองไม่มีเวลาอ่านหนังสือ นักศึกษาอาจเริ่มต้นโดยบันทึกว่า ในวันหนึ่งๆนั้น ตนเองได้ใช้เวลาทำอะไรบ้าง การบันทึกเช่นนี้ทำให้นักศึกษาได้รู้ถึงเวลาที่ใช้ในการทำกิจกรรมต่างๆ ทำให้สามารถตัดสินใจได้ว่าควรจะจัดการอย่างใดกับเวลาที่ใช้ในการทำกิจกรรมต่างๆในแต่ละวันเพื่อให้มีเวลาในการอ่านหนังสือได้ หรือนักศึกษาอาจมีความวิตกกังวลกับการสอบ เนื่องจากกลัวว่าจะทำข้อสอบไม่ได้ดี ทำให้เกิดความวิตกกังวลสูง อาจมีผลทำให้หมดกำลังใจในการอ่านหนังสือ ซึ่งการมีข้อมูลเหล่านี้จะทำให้เราเข้าใจและสามารถหาทางแก้ไขปัญหาได้
2.นักศึกษาจะต้องมีความคิดว่า สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับตนเองนั้นเป็นผลมาจากการกระทำของตนเอง การที่จะทำคะแนนสอบได้ดี การที่มีเพื่อนมาก หรือการที่มีคนยอมรับตนเองนั้น สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นจากผลของการกระทำของเราทั้งสิ้น นั่นคือนักศึกษาสามารถจะบอกตนเองได้ว่า อดีตผ่านไปแล้วแก้ไขอะไรไม่ได้ อนาคตเป็นสิ่งที่เรามีทางเลือก ดังนั้น ถ้าเราเลือกที่จะประสบความสำเร็จเราก็จะสำเร็จ แต่ถ้าเราเลือกที่จะเชื่อว่าสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพราะคนอื่น หรือโชคชะตา เราก็จะไม่มีโอกาสได้พัฒนาตนเอง เพราะเรามัวแต่จะรอให้คนอื่นแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลง หรือรอโชคชะตา ดังนั้น ประเด็นนี้จึงสำคัญมาก นักศึกษาต้องบอกเสมอว่า อนาคตเราเป็นผู้สร้าง ผู้กระทำ เราจึงต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้น
3.นักศึกษาจะต้องมีความปรารถนาที่จะเปลี่ยนแปลงและพัฒนาตนเองไปในทางที่ดีขึ้น เพราะถ้าปราศจากซึ่งความปรารถนาทีจะเปลี่ยนแปลง นักศึกษาก็จะขาดแรงจูงใจที่จะกระทำ ดังนั้น นักศึกษาจะต้องบอกตนเองว่า ฉันต้องการพัฒนาตนเอง และฉันจะทำเดี๋ยวนี้ อย่ารอเวลาเพราะถ้ารอเราจะไม่มีโอกาสได้พัฒนาตนเองอีกเลย
สิ่งเริ่มต้นที่จะพัฒนาตนเองนั้นน่าจะเริ่มต้นจากการตระหนักถึงความคิดของตนเอง และจัดการกับความคิดของตนเองเป็นอันดับแรกทั้งนี้ จากการศึกษาทางจิตวิทยาพบว่า ร้อยละ 75 ของความคิดของคนเราส่วนใหญ่ มักคิดในทางลบ (Helmstetter,1987) ซึ่งความคิดไม่ว่าทางบวกหรือทางลบก็ตามเกิดขึ้นจากกระบวนการเรียนรู้ทั้งสิ้น เมื่อบุคคลเกิดปฏิสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อม ผลกรรมที่เกิดขึ้นจากการมีปฏิสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมนั้นจะเป็นตัวกำหนดความคิดของคนเราต่อสภาพแวดล้อมนั้นๆ ซึ่งถ้าคนเรากระทำพฤติกรรมบางอย่างและได้รับผลกรรมที่ต้องการ เขาก็จะมีความคิดในทางบวกต่อสภาพแวดล้อมนั้น ในทางกับกันถ้าเขาได้รับผลกรรมทางลบเขาก็จะมีความคิดในทางลบต่อสภาพแวดล้อมนั้น ซึ่งถ้าความคิดในทางลบนั้นเกิดขึ้นบ่อยๆ ก็อาจจะพัฒนาเป็นนิสัยการมองโลกในแง่ร้าย อันจะนำไปสู่การสร้างปัญหาให้กับตัวเองและสังคมรอบข้าง ซึ่งลักษณะเช่นนี้ Helmstetter กล่าวว่า เป็นการวางโปรแกรมให้คนเราเกิดความเชื่อ และความเชื่อทำให้คนเราสร้างทัศนคติขึ้นมา แล้วทัศนคติจะสร้างให้คนเราเกิดความรู้สึก ความรู้สึกก็จะไปกำหนดการกระทำ และการกระทำก็จะนำไปสู่ผลที่เกิดขึ้น ดังนั้น จึงเป็นไปได้ว่า สิ่งที่คนเราเชื่อหรือคิดไม่จำเป็นจะต้องเป็นสิ่งที่เป็นจริง ขอให้เราคิดหรือเชื่อว่ามันเป็นจริงมันก็สามารถเป็นจริงได้ ซึ่งประเด็นนี้จัดได้ว่าเป็นอันตรายมากต่อการใช้ชีวิตของคนเรา เพราะจะนำไปสู่ความเชื่อที่ผิดๆ ดังนั้น นักศึกษาจึงควรที่จะตระหนักถึงความคิดหรือความเชื่อที่ผิดๆ หรือความคิดทางลบของตนเอง และควรจะเปลี่ยนความคิดทางลบเหล่านั้นให้เป็นทางบวก แต่กระบวนการดังกล่าวทำได้ไม่ง่ายนัก เนื่องจากคนเรามักจะติดกับความเคยชินที่คิดในทางลบ ดังนั้น เทคนิคแรกที่นักศึกษาควรจะฝึกเพื่อนำไปสู่การพัฒนาตนเองนั้น คือเทคนิคการหยุดความคิด (Thought stopping) เพื่อหยุดความคิดในทางลบของตนเองเสียก่อน ซึ่งแน่นอน หลักการประการแรกที่สำคัญที่สุดคือ นักศึกษาจะต้องตระหนักตนเองก่อนว่าตนเองกำลังคิดในทางลบอยู่หรือไม่ ถ้าพบว่า ตนเองกำลังคิดในทางลบอยู่ก็ให้ใช้เทคนิคการหยุดความคิด